ตรวจอาการด้วยตนเอง: ภาวะไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia หรือ Hyperlipidemia)ภาวะไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia หรือ Hyperlipidemia) คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับไขมันบางชนิดในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติ ซึ่งอาจเป็นทั้งไขมัน คอเลสเตอรอล และ/หรือ ไตรกลีเซอไรด์ โดยเฉพาะไขมันไม่ดีอย่าง LDL-C (Low-Density Lipoprotein Cholesterol) ที่สูงเกินไป หรือไขมันดีอย่าง HDL-C (High-Density Lipoprotein Cholesterol) ที่ต่ำเกินไป ภาวะนี้เป็น "ภัยเงียบ" ที่มักไม่แสดงอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคเรื้อรังและอันตรายถึงชีวิตหลายชนิด
ชนิดของไขมันในเลือดที่สำคัญ
ในการตรวจเลือดเพื่อดูระดับไขมัน แพทย์จะพิจารณาค่าไขมันหลักๆ 4 ชนิด ดังนี้:
คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol): คือปริมาณคอเลสเตอรอลทั้งหมดในเลือด ค่าปกติมักจะอยู่ที่ น้อยกว่า 200 mg/dL
LDL-C (Low-Density Lipoprotein Cholesterol): หรือที่เรียกว่า "ไขมันไม่ดี" เพราะหากมีปริมาณสูงเกินไป จะสะสมที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งตัว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด ค่าปกติมักจะอยู่ที่ น้อยกว่า 100 mg/dL (หรือน้อยกว่า 70 mg/dL ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน)
HDL-C (High-Density Lipoprotein Cholesterol): หรือ "ไขมันดี" ทำหน้าที่ขนส่งคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากเซลล์และหลอดเลือดกลับสู่ตับเพื่อขับทิ้ง ช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ยิ่งมีค่าสูงยิ่งดี ค่าปกติมักจะอยู่ที่ มากกว่า 40 mg/dL (ยิ่งสูงกว่า 60 mg/dL ยิ่งดี)
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides): เป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นจากพลังงานส่วนเกินที่ได้รับจากอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและไขมัน หากมีค่าสูงมากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงตับอ่อนอักเสบ ค่าปกติมักจะอยู่ที่ น้อยกว่า 150 mg/dL
สาเหตุของภาวะไขมันในเลือดสูง
ภาวะไขมันในเลือดสูงเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งจากพฤติกรรมส่วนตัวและปัจจัยทางพันธุกรรม:
พฤติกรรมการใช้ชีวิต (เป็นสาเหตุหลัก):
การรับประทานอาหาร: บริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง (เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน, หนังสัตว์, เนย, ชีส, กะทิ), ไขมันทรานส์ (เช่น เบเกอรี่, ขนมขบเคี้ยว, อาหารทอด), คอเลสเตอรอลสูง (เช่น เครื่องในสัตว์, ไข่แดง, ปลาหมึก) และอาหารที่มีน้ำตาลสูง
การไม่ออกกำลังกาย: การขาดการเคลื่อนไหวทำให้ระบบเผาผลาญไขมันในร่างกายทำงานได้ไม่ดี
น้ำหนักเกิน/โรคอ้วน: โดยเฉพาะภาวะอ้วนลงพุง
การสูบบุหรี่: ทำลายผนังหลอดเลือดและลด HDL-C
การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มมากเกินไปเพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์
ปัจจัยทางพันธุกรรม: บางคนอาจมีพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอลมากเกินไป หรือมีปัญหาในการกำจัดไขมันออกจากร่างกาย แม้จะควบคุมอาหารแล้วก็ตาม
โรคประจำตัวบางชนิด:
โรคเบาหวาน
ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism)
โรคไตเรื้อรัง
โรคตับ
กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
ภาวะ Cushing's syndrome
ยาบางชนิด: ยาบางประเภทอาจส่งผลให้ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้นได้ เช่น ยาคุมกำเนิด, ยากลุ่มสเตียรอยด์, ยาขับปัสสาวะบางชนิด
อาการของภาวะไขมันในเลือดสูง
ภาวะไขมันในเลือดสูงส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการที่ชัดเจน จนกว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมีอาการที่บ่งบอกถึงภาวะไขมันสูงที่นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ เช่น:
ความดันโลหิตสูงขึ้น: เป็นผลจากหลอดเลือดแข็งและตีบ
เวียนศีรษะ หน้ามืด วิงเวียนบ่อยๆ: โดยเฉพาะเมื่อลุกยืนเร็ว หรือก้มหน้านานๆ
ปวดศีรษะบ่อยๆ
เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก: เมื่อหลอดเลือดหัวใจเริ่มตีบ
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
อาการชาตามมือและเท้า: เกิดจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงปลายมือปลายเท้าตีบ
เกิดอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงชั่วคราว: อาจเป็นสัญญาณของหลอดเลือดสมองตีบชั่วคราว
ผิวหนังมีก้อนไขมันนูนเหลือง: (Xanthomas) อาจพบบริเวณหนังตา ข้อศอก หัวเข่า หรือเส้นเอ็น (เป็นอาการที่พบได้น้อยและมักเกิดในภาวะไขมันในเลือดสูงทางพันธุกรรมที่รุนแรง)
ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย
หากปล่อยให้ภาวะไขมันในเลือดสูงดำเนินไปโดยไม่ได้รับการรักษา จะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้แก่:
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease): ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจวายเฉียบพลัน
โรคหลอดเลือดสมองตีบ/แตก (Stroke): ทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิต
โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease): ทำให้ปวดขาเวลาเดิน ชา หรือเกิดแผลเรื้อรังที่เท้า
ความดันโลหิตสูง: ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน: โดยเฉพาะเมื่อมีไตรกลีเซอไรด์สูงมากๆ
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยภาวะไขมันในเลือดสูงทำได้โดย การตรวจเลือด (Lipid Profile) โดยทั่วไปมักจะต้องงดน้ำและอาหารก่อนการเจาะเลือดประมาณ 9-12 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำ
คำแนะนำ: ผู้ใหญ่อายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจระดับไขมันในเลือดทุกๆ 1-2 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์
การรักษาและป้องกันภาวะไขมันในเลือดสูง
การรักษาไขมันในเลือดสูงมักเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นอันดับแรก และหากไม่ดีขึ้น แพทย์จึงจะพิจารณาให้ยาร่วมด้วย
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle Modification) - หัวใจสำคัญของการควบคุมและป้องกัน
การรับประทานอาหาร:
เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และถั่ว: มีใยอาหารสูงช่วยลดการดูดซึมไขมันและคอเลสเตอรอล
เลือกแหล่งโปรตีนที่ดี: เนื้อปลา (โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ทูน่า), เนื้อไก่ (ไม่ติดหนัง), เนื้อหมู/วัวไม่ติดมัน, เต้าหู้, ถั่วต่างๆ
ลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน, เครื่องใน, เนย, กะทิ, ขนมอบ เบเกอรี่, อาหารทอด และอาหารแปรรูป
ลดคอเลสเตอรอลในอาหาร: จำกัดปริมาณเครื่องในสัตว์, ไข่แดง (ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์แต่ละบุคคล)
ลดน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว: เพราะสามารถเปลี่ยนไปเป็นไตรกลีเซอไรด์ได้
เลือกใช้น้ำมันที่ดี: เช่น น้ำมันรำข้าว, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันคาโนลา, น้ำมันมะกอก ในปริมาณที่พอเหมาะ
ปรุงอาหารด้วยวิธีนึ่ง ต้ม อบ ย่าง: แทนการทอด ผัด
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 30-45 นาทีต่อครั้ง 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว, วิ่งเหยาะๆ, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม: หากมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน การลดน้ำหนักช่วยลดไขมันในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์: สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ส่งผลเสียต่อหลอดเลือดโดยตรง
จัดการความเครียด: ความเครียดอาจส่งผลต่อระดับไขมันได้
2. การรักษาด้วยยา (Medication)
หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ผล หรือผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดไขมันในเลือด ซึ่งมีหลายกลุ่ม:
ยากลุ่มสแตติน (Statins): เป็นยาหลักที่ใช้ในการลด LDL-C และลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
ยากลุ่มไฟเบรต (Fibrates): ใช้ในการลดไตรกลีเซอไรด์เป็นหลัก
ยาอื่นๆ: เช่น Ezetimibe, Nicotinic acid, Omega-3 fatty acids หรือยาฉีดกลุ่ม PCSK9 inhibitors ในกรณีที่รักษายากหรือมีความเสี่ยงสูงมาก
ข้อควรจำ: การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ห้ามปรับยาหรือหยุดยาเอง และต้องไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลและปรับยาหากจำเป็น
ภาวะไขมันในเลือดสูงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรใส่ใจ การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณรู้เท่าทันสุขภาพของตัวเอง และหากพบว่ามีภาวะไขมันในเลือดสูง การเริ่มต้นดูแลตัวเองแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนร้ายแรงในอนาคตได้ครับ